ประโยชน์



คุณสมบัติที่ถูกนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ของวิธีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อมีหลายข้อพอสรุปได้ดังนี้


1. สามารถผลิตต้นพันธุ์พืชปริมาณมากในระยะเวลาอันรวดเร็ว ตัวอย่างเช่น หากพืชสามารถเพิ่ม ปริมาณได้ เท่า ต่อการย้ายเนื้อเยื่อลงอาหารใหม่ทุกเดือนๆ ละ ครั้ง เมื่อเวลาผ่านไป เดือน จะสามารถผลิต ต้นพันธุ์พืชได้ถึง 243 ต้น


2. ต้นพืชที่ผลิตได้จะปลอดโรค โดยเฉพาะโรคที่มีสาเหตุจากเชื้อไวรัส มายโคพลาสมา ด้วยการตัด เนื้อเยื่อเจริญที่อยู่บริเวณปลายยอดของลำต้น ซึ่งยังไม่มีท่อน้ำท่ออาหาร อันเป็นทางเคลื่อนย้ายของเชื้อโรค ดังกล่าว


3. ต้นพืชที่ผลิตได้ จะมีลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนต้นแม่ คือ มีลักษณะตรงตามพันธุ์ ด้วยการใช้ เทคนิคของการเลี้ยงจากชิ้นตาพืชพัฒนาเป็นต้นโดยตรง หลีกเลี่ยงขั้นตอนการเกิดกลุ่มก้อนเซลล์ที่เรียกว่า แคลลัส


4. ต้นพืชที่ผลิตได้จะมีขนาดสม่ำเสมอ ผลผลิตที่ได้มีมาตรฐานและเก็บเกี่ยวได้คราวละมากๆ พร้อมกัน หรือในเวลาเดียวกัน


5. เพื่อการเก็บรักษาหรือแลกเปลี่ยนพันธุ์พืชระหว่างประเทศ เช่น การมอบเชื้อพันธุ์กล้วยในสภาพปลอดเชื้อ ขององค์กรกล้วยนานาชาติ (INIBAP) ให้กรมส่งเสริมการเกษตร เมื่อปี พ.ศ. 2542


6. เพื่อประโยชน์ด้านการสกัดสารจากต้นพืช นำมาใช้ประโยชน์ด้านต่างๆ เช่น ยาฆ่าแมลง ยารักษาโรค เป็นต้น


ที่มา https://sites.google.com/


ที่มา https://sites.google.com/


ที่มา https://tanyamat5651.wordpress.com/



ที่มา  http://www.thaigoodview.com/library/contest2553/type2/science04/24/pages/index5cfa.html


 ปัญหาและอุปสรรคที่พบในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ 
   มีการเผยแพร่ผลงานที่เกี่ยวข้องกับหลักการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชกันแต่ไม่ค่อยมีการกล่าวถึงปัญหา และอุปสรรคที่พบ   เมื่อมีการนำมาปฏิบัติจริง  โดยเฉพาะเพื่อการขยายผลในเชิงการค้ากับกลุ่มพืชเศรษฐกิจ มักไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาจาก ค่าการลงทุนที่ค่อนข้างสูง ความผิดพลาด ในการชั่งตวงวัดความไม่บริสุทธิ์ของน้ำที่ใช้ เป็นต้นในที่นี้จะกล่าวถึงปัญหาอุปสรรคที่พบเสมอ เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับลักษณะของต้นพืชระหว่างดำเนินการพอสรุปได้ดังนี้

  1. ความผิดปกติที่เกิดกับต้นพืช  หมายถึง  ต้นพืชจะแสดงลักษณะที่ผิดไปจากสภาพการเจริญเติบโตปกติ อาจมีสาเหตุมาจากวิธีการดำเนินงานในแต่ละขั้นตอนของกระบวนการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เช่น การใช้สารเร่งการเจริญเติบโตหรืออื่น ๆ  ในอัตราที่เข้มข้นมากเกินไปเป็นเวลานานเกินไป   หรือแม้แต่การตัดชิ้นพืชที่มีขนาดแตกต่างกันหรือการเว้นระยะห่างระหว่างพืชที่วางในขวดต่างกันล้วนแล้วแต่อาจจะเป็นสาเหตุของความผิดปกติของต้นพืชได้ทั้งสิ้นเช่น

  -- อาการด่างขาว เป็นอาการที่ใบพืชจะเปลี่ยนสีจากเขียวเป็นขาว มีทั้งแบบสีขาวทั้งใบ สีขาวครึ่งใบ    หรือสีขาว ตามขอบใบ
  -- อาการฉ่ำน้ำ (Vitrification) เป็นอาการผิดปกติที่เห็นได้ชัดเจน บริเวณใบจะใสเหมือนแก้ว   อาจมีสาเหตุจาก ปริมาณน้ำภายในเซลล์มากเกินไป ถ้าย้ายออกปลูก มักจะตายในที่สุด
  -- ต้นพืชหยุดเจริญเติบโตด้านความสูง
  -- อาการยอดบิดเบี้ยว ใบแคบเล็ก หรือไม่มีใบ
  -- ต้นพืชมีการเจริญเติบโตและพัฒนาไม่พร้อมกัน ทำให้แผนการเพิ่มปริมาณอาจผิดพลาดไปได้   เนื่องจากต้องคัดเลือกต้นที่มีความสูงมาก เข้าสู่ระยะการชักนำราก ส่วนต้นที่มีความสูงน้อยนำมาเพิ่มปริมาณยอดต่อไปได้               
  2. การปนเปื้อนของเชื้อราและเชื้อแบคทีเรีย ในขวดเนื้อเยื่อพืช
  3. พืชหลายชนิดสามารถขยายเพิ่มปริมาณได้มาก แต่เมื่อถึงระยะสุดท้ายต้นพืชไม่ตอบสนอง  ในระยะการชักนำราก ถึงแม้ว่าจะผ่านการทดสอบในขั้นตอนดังกล่าวแล้ว
  4. ความไม่เป็นปัจจุบันของสายพันธุ์ภายหลังการผลิต-ขยาย บรรลุเป้าหมายแล้ว อาจพบกับกลุ่มไม้ดอก  เนื่องจากความนิยมเรื่องสายพันธุ์ เปลี่ยนแปลงค่อนข้างเร็ว
  5. ความแปรปรวนทางพันธุกรรมของต้นพืช (Somaclonal variation) เป็นลักษณะของต้นพืชที่แตกต่างไปจากเดิม อาจเป็นการเปลี่ยนแปลง โดยถาวรหรือกลับมาเป็นแบบเดิมก็ได้
      ปัญหาต่าง ๆ ดังกล่าวเมื่อเกิดขึ้นแล้วต่างส่งผลให้ต้นพืชเหล่านั้น เจริญเติบโตน้อยลง หรือตายในที่สุด   การหาวิธีแก้ไขคงเป็นไปได้ยาก แต่ควรเริ่มต้นทำงานใหม่ด้วยความระมัดระวัง ในทุกลำดับขั้นตอน ตั้งแต่การฟอกฆ่าเชื้อ วิธีการตัด และวางเนื้อเยื่อพืช สูตรอาหารที่ใช้ เทคนิคปลอดเชื้อ ความสะอาดของเครื่องมือที่ผ่านการฆ่าเชื้อแล้ว  เป็นต้น แต่ปัญหาอุปสรรคที่เกิดกับงานขยายพันธุ์พืชด้วยวิธีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เป็นปัญหาที่แก้ไขได้ หากปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และให้ความสำคัญกับเทคนิคปลอดเชื้อ ผลสำเร็จของงานผลิต-ขยายพันธุ์พืชบรรลุวัตถุประสงค์แน่นอน 


ที่มา http://forum.narandd.com/index.php?topic=1427.0;prev_next=prev#new



ที่มา https://www.kehakaset.com/articles_details.php?view_item=426


ที่มา http://www.pandinthong.com/knowledge-preview/381691791800


ที่มา http://piyapaskritsana.blogspot.com/2011/

1 ความคิดเห็น: