วันอาทิตย์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2560

การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อคืออะไร?


ที่มา http://www.thaibiotech.info/what-is-plant-tissue-culture.php

         การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช (Plant tissue culture) คือการเพาะเลี้ยงพืช เฉพาะบางส่วนของพืชเพื่อให้ได้พืชชนิดนั้นทั้งต้น ทำให้มีขยายพันธุ์ให้ได้จำนวนมากขึ้นทั้งที่พืชที่ถูกนำชิ้นส่วนมาขยายพันธุ์ต่อนั้นมีจำนวนน้อยต้น
         โดยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชเป็นการรวบรวมเทคนิคต่างๆมาใช้ในการดูแลรักษาและการเจริญเติบโตของเซลล์พืชหรือเนื้อเยื่อพืช หรือ อวัยวะชิ้นส่วนของพืชภายใต้สภาวะการปลอดเชื้อและสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชชนิดนั้นๆโดยใส่ไว้บนอาหารไว้สำหรับการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช  เพื่อให้ได้พืชชนิดนั้นทั้งต้น  ทั้งนี้การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช นี้มักใช้เพิ่มจำนวนพืชที่มีลักษณะเหมือนกันทางพันธุกรรมจำนวนมาก เช่น กล้วยไม้ที่เป็นพันธุ์พิเศษหายากหรือปรับปรุงพันธุ์ขึ้นเองเพื่อใช้ในการขายในประเทศหรือส่งออกนอกประเทศ



ที่มา thaibiotech.team@gmail.com 



คุณสมบัติ

คุณสมบัติที่ถูกนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ของวิธีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ

1.     สามารถผลิตต้นพันธุ์พืชปริมาณมากในเวลาอันรวดเร็ว
2.     ต้นพืชที่ได้จะปลอดโรค โดยเฉพาะโรคที่มีสาเหตุจากเชื้อไวรัส มายโคพลาสมาโดยการตัดเนื้อเยื่อที่เจริญที่อยู่บริเวณปลายยอดของลำต้นซึ่งยังไม่มีท่อน้ำท่ออาหาร  อันเป็นช่องทางเคลื่อนย้ายของเชื้อโรคดังกล่าว
3.     ต้นพืชที่ผลิตได้จะมีลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนต้นแม่ คือมีลักษณะตรงตามพันธุ์ ด้วยการใช้เทคนิคของการเลี้ยงจากชิ้นตาพืชพัฒนาเป็นต้นโดยตรง หลีกเลี่ยงขั้นตอนการเกิดกลุ่มก้อนเซลล์ที่เรียกว่า แคลลัส
4.     ต้นพืชที่ได้จะมีขนาดสม่ำเสมอ ผลผลิตที่ได้มีมาตรฐานและเก็บเกี่ยวได้คราวละมากๆพร้อมกันหรือในเวลาเดียวกัน
5.     เพื่อการเก็บรักษาหรือแลกเปลี่ยนพันธุ์พืชระหว่างประเทศ เช่น การมอบเชื้อพันธุ์กล้วยไม้ในสภาพปลอดเชื้อขององค์กรกล้วยไม้นานาชาติ(INIBAP) ในกรมส่งเสริมการเกษตร เมื่อปี พ.ศ.2542
6.     เพื่อประโยชน์ด้านการสกัดสารจากต้นพืช นำมาใช้ประโยชน์ด้านต่างๆ เช่น ยาฆ่าแมลง ยารักษาโรคเป็นต้น

นอกจากนี้ ยังมีคุณประโยชน์อีกหลากหลายประการ เช่น เพื่อการผลิตพืชทนทานต่อสภาพแวดล้อม ทนกรด ทนเค็ม เป็นต้น หรือการใช้ประโยชน์เกี่ยวกับการศึกษาทางด้านชีวเคมี และสรีรวิทยาของพืช เป็นต้น 

ที่มา http://cyberlab.lh1.ku.ac.th/elearn/faculty/agriculture/agri06/lecture_9.htm 

ที่มา kanchanapisek.or.th

เครื่องมือและอุปกรณ์


           เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ มีหลากหลายชนิด หลากหลายประโยชน์ในการใช้สอย  จะแบ่งได้เป็นเครื่องมือที่เกี่ยวข้องกับการเตรียมอาหารสังเคราะห์ เครื่องมือที่เกี่ยวข้องกับการย้ายเนื้อเยื่อเพาะเลี้ยง และเครื่องมือที่เกี่ยวข้องกับการเพาะเลี้ยงควบคุมปัจจัยการเจริญเติบโตของพืช 
    หม้อนึ่งความดันไอน้ำ หรือ Autoclave มีทั้งแบบใช้แก๊สและใช้ไฟฟ้า มีมาตรฐานการควบคุมที่ต้องใช้คือ การควบคุมอุณหภูมิภายในหม้อนึ่งต้องอยู่ที่ 121 ํ C ความดันประมาณ 15 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว นาน 15-20 นาที 











ที่มา   http://www.taradlab.com/product.detail_155367_th_2187430

เครื่องชั่งสารเคมี  ต้องใช้เครื่องชั่งที่มีความละเอียดมาก ไม่สามารถใช้เครื่องชั่งผลไม้ธรรมดาได้ เครื่องชั่งที่ใช้เป็นเครื่องชั่งดิจิตัล มีเครื่องชั่งแบบทศนิยม 2 ตำแหน่ง และ 4 ตำแหน่ง ที่ต้องใช้แบบนี้เพราะว่าต้องชั่งสารเคมีฮอร์โมนต่างๆที่ใช้ในการเตรียมอาหารแต่ละครั้งที่มีปริมาณน้อยที่น้อยมากๆ  แต่ก็มีบ้างเหมือนกันตรงที่ใช้ตาชั่งแบบแขนเดี่ยวและก็ประหยัด


ที่มา http://www.kttlab.com/subcategory.php?cid=22&sid=43




ที่มา http://web.ku.ac.th/schoolnet/snet5/tbalance.html

เครื่องวัดค่าความเป็นกรดเป็นด่าง (pH Meter) และบัฟเฟอร์ปรับค่ามาตรฐานของเครื่องวัด บางคนคิดว่าจะใช้กระดาษลิตมัสเอาก็พอแล้วถูกดีด้วย คำตอบคือไม่แนะนำให้ใช้ เนื่องจากค่าที่ได้เป็นช่วงกว้างเกินไป แนะนำ pH Meter ที่เป็นปากกา พกพาสะดวก อ่านค่าได้ดีในระดับหนึ่ง ต้องหมั่นตรวจสอบกับบัฟเฟอร์ค่ามาตรฐานบ่อยๆ ราคาก็ไม่แพงไปนัก ในบางครั้งเครื่องมือที่อ่านค่าได้ก็ใช่ว่าจะตรงกับความเป็นจริงเสมอไปจึงทำให้ต้องมีบัฟเฟอร์ที่เป็นค่ามาตรฐานแน่นอนเป็นตัวควบคุม การอ่านค่า pH ที่ผิดพลาดไปเพียงค่าเดียว เช่น เครื่องอ่านได้ 6.0 แต่ว่าความเป็นจริงแล้วมีค่าเท่ากับ 7.0 นั่นก็แสดงว่าค่าที่ได้ต่างจากค่าความเป็นจริงถึงสิบเท่า แต่ถ้าเครื่องอ่านได้ 6.0 แต่จริงๆ แล้ว 8.0 นั่นเท่ากับว่าคลาดเคลื่อนถึง 100 เท่าเลยนะครับ แต่แนะนำว่าซื้อเครื่องใหม่ได้เลยถ้าเครื่องคลาดเคลื่อนมากขนาดนี้

ที่มา http://www.merittech.co.th/

ตู้เย็น คงไม่ต้องอธิบายอะไรมากมาย ควรเป็นตู้เย็นที่มีช่องแช่แข็งกับช่องเย็นธรรมดาอยู่แยกกัน เพราะว่าประหยัด เป็นสัดส่วน ห้ามเอาตู้เย็นที่แช่กับข้าวมาแช่รวมกับสารเคมีหรือฮอร์โมนเพราะว่าอันตรายมาก สารควบคุมการเจริญเติบโตบางตัวเป็นสารพวกปราบวัชพืชด้วยซ้ำไปครับ

 ที่มา https://www.onlikeonline.com/
เตาแก๊ส หรือไมโครเวฟ ถ้าทำอาหารสังเคราะห์ปริมาณมากก็เตาแก๊สไปเลยดีกว่า สะดวก ไม่จำเป็นต้องใช้ไมโครเวฟอีก



ที่มา  http://www.buathongdirect.com/
ที่มา  http://www.lazada.co.th/shop-microwaves/








    เตาอบให้ความร้อน ให้เลือกชนิดที่เพิ่มความร้อนได้ตั้งแต่ต่ำๆ ไปจนสูงเกือบ 200 ใช้อบเครื่องแก้ว ภาชนะต่างๆ ถ้าจะอบให้แห้งก็ประมาณ 45-60 ถ้าจะอบฆ่าเชื้อเลยต้อง 180 นานประมาณ 3 ชั่วโมงก็ใช้ได้แล้ว 

ที่มา http://www.pornchaiinter.com/E_Lab_ST.html


    เครื่องคนหรือเครื่องกวนสาร  เครื่องมือชนิดนี้สำหรับคนขี้เกียจกวนสารเป็นเวลานานๆ ตัวเครื่องใช้หลักการจากความต่างของขั้วแม่เหล็ก

ที่มา  http://tanatit.tarad.com/product.detail_674489_en_4565330

ตู้ย้ายเนื้อเยื่อ หรือ Laminar air-flow cabinet เป็นตู้ที่คนคิดเค้าประดิษฐ์ขึ้นมาและไว้ใจได้ว่าอากาศที่อยู่ภายในตู้บริสุทธิ์ เพราะว่าเชื้อจุลินทรีย์ที่อยู่ตามอากาศทั่วไปจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เนื้อเยื่อของเราปนเปื้อนได้ (Contaminated) วิธีการของตู้นี้จะดูดเอาอากาศเข้าทางด้านบนหรือด้านหลังของเครื่องผ่านแผ่นกรองที่มีรูกรองขนาดเล็กดักจับจุลินทรีย์ไม่ให้ผ่านเข้ามา อากาศภายในเครื่องก็จะสะอาด แถมยังกันอีกชั้นหนึ่งด้วยการเป่าลมเข้าหาผู้ย้ายเนื้อเยื่อตลอดเวลาเพื่อป้องกัน จุลินทรีย์ที่ติดอยู่ตามเสื้อผ้าหรือล่องลอยอยู่ในอากาศเล็ดรอดเข้าตู้มาได้ ตู้แบบนี้จะติดหลอดไฟให้แสงยูวี (UV) ไว้ด้วย โดยก่อนใช้ต้องเปิดหลอดไฟนี้แล้วหาผ้าคลุมเอาไว้ นานอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง จะให้แน่ใจก็ชั่วโมงหนึ่งไปเลยเพื่อฆ่าเชื้อตามพื้นผิวของตู้ให้ได้มากที่สุดก่อนที่เราจะย้ายเนื้อเยื่อทุกครั้งนั่นเอง


ที่มา http://www.plantmediashop.com/store/webboard/view 
ชั้นวางล้อเลื่อน ไว้วางภาชนะต่างๆ เพื่อสะดวกต่อการเคลื่อนย้าย

ที่มา  http://www.kuihengpattana.com/

   ชั้นวางขวดเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ สั่งทำหรือทำเองให้มี 4-5 ชั้น ไม่สูงจนเกินไปนักเพื่อสะดวกเวลาทำงาน ระยะห่างระหว่างชั้นประมาณ 1 ฟุต หรือมากกว่านั้นได้นิดหน่อย ติดหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ให้เรียบร้อย ถ้าความกว้างของชั้นกว้างมากหน่อยให้ติดหลอดไฟเป็น 2 แถว เพื่อความเข้มของแสงจะได้มากพอ ความเข้มแสงควรให้ได้ประมาณ 3000-4000 ลักซ์ (lux) วัสดุที่นำมาทำเป็นพื้นของแต่ละชั้นไม่ควรเป็นกระจก จริงอยู่ที่ทำให้แสงจากชั้นอื่นช่วยเพิ่มความเข้มแสง แต่ต้องไม่ลืมว่าความร้อนจากชั้นล่างจะทำให้ชั้นที่เหนือขึ้นไปร้อนและเป็นผลเสียต่อเนื้อเยื่อของเราเองได้ ควรใช้ไม้โฟเมก้าพื้นขาว มีฝุ่นนิดเดียวก็เห็นได้ชัดเจน ทำความสะอาดง่าย และไม่นำความร้อน






ที่มา  http://www.thaigoodview.com/library/contest2553/type2/science04/24/pages/index5cfa.html

   เครื่องเขย่า (Shaker) ถ้าเป็นอาหารสังเคราะห์ที่ใส่วุ้นให้แข็งเครื่องนี้ก็ไม่จำเป็น แต่อาหารเหลวเครื่องนี้ต้องมีประจำห้องไว้เลย เนื่องจากว่าชิ้นพืชที่เพาะเลี้ยงในอาหารเหลว วางไว้เฉยๆ จะจมและไม่ได้รับอากาศ การเขย่าหรือกวนให้อาหารมีการแลกเปลี่ยนอากาศเป็นสิ่งที่ต้องทำและจะทำให้เนื้อเยื่อเจริญได้ดีและเร็ว ใช้มอเตอร์รอบต่ำความเร็วประมาณ 140-150 รอบ/นาที 

ที่มา  http://www.scilution.net/Laboratory-Instruments/Mixer/Shaker/


ที่มาของเนื้อหา http://www.pla-o.com/


วันเสาร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2560

หลักการและวิธีการ

อาหารสังเคราะห์


         ปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จในการเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชที่สำคัญยิ่งประการหนึ่ง ได้แก่ อาหารสังเคราะห์ที่เตรียมขึ้น เพื่อเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช ซึ่งต้องมีความเหมาะสม สามารถส่งเสริมการเจริญของเซลล์และเนื้อเยื่อพืชได้

องค์ประกอบหลักของ อาหารสังเคราะห์สูตรต่างๆ โดยทั่วไป มีดังต่อไปนี้
 1. เกลืออนินทรีย์
ให้แร่ธาตุที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืชทั่วๆไป ได้แก่ ไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P) โพแทสเซียม (K) แคลเซียม (Ca) ซัลเฟอร์ (S) แมกนีเซียม (Mg) เหล็ก (Fe) แมงกานีส (Mn) สังกะสี (Zn) โบรอน (B) ทองแดง (Cu) โคบอลต์ (Co) และโมลิบดีนัม (Mo) บางสูตรเติมไอโอดีน (I) ด้วย ซึ่งพบว่าให้ผลดีสำหรับการเจริญของรากและแคลลัส ชนิดและปริมาณ ของเกลือที่มีแร่ธาตุเหล่านี้ มีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อและเซลล์พืชมาก เช่น ธาตุไนโตรเจน (N) โดยทั่วไป มักให้อย่างน้อย 25 - 60 มิลลิโมลาร์ ในรูปเกลือไนเทรต แต่ก็พบว่า การใช้เกลือแอมโมเนียม 2 - 20 มิลลิโมลาร์ด้วย ก็จะให้ผลดียิ่งขึ้น สำหรับการเลี้ยงแคลลัสของยาสูบ และการเพาะเมล็ดกล้วยไม้บางชนิด นอกจากนั้น เกลือแอมโมเนียม ยังมีส่วนช่วยรักษาสมดุลของค่า pH หรือระดับความเป็นกรดด่าง ของอาหารเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชด้วย เช่นเดียวกับการใช้สารอินทรีย์ แต่บางครั้งพบว่า เกลือแอมโมเนียม อาจมีผลยับยั้งการเจริญ ของเนื้อเยื่อพืชบางชนิดได้ ส่วนธาตุเหล็กมักเตรียมให้อยู่ในรูปที่ละลายน้ำได้ดี โดยรวมกับ ไดโซเดียมอีดีทีเอ เก็บในที่ที่ไม่ถูกแสง ทั้งนี้ เพื่อให้เหล็กอยู่ในรูปที่พืชใช้ได้นาน และทำให้พืช ไม่มีภาวะขาดธาตุเหล็ก

ที่มา https://thai.alibaba.com/


    2. คาร์โบไฮเดรต
ได้แก่ น้ำตาลซึ่งจะให้พลังงานแก่เนื้อเยื่อพืช เพื่อใช้ในการเจริญเติบโตในหลอดทดลอง นิยมใช้ ซูโครส (sucrose) เป็นส่วนใหญ่ ประมาณร้อยละ 2 - 5 โดยน้ำหนัก

    3. วิตามิน
ช่วยให้การทำงานของเอนไซม์ต่างๆ เป็นไปได้อย่างดี ปกติพืชสามารถสังเคราะห์วิตามินได้เอง แต่ในหลอดทดลอง อาจสร้างได้ไม่เพียงพอ จึงมักต้องเติมให้
เสมอๆ คือ ไทอามีน (Thiamine) 0.1 - 1.0 มิลลิกรัมต่อลิตร นอกจากนี้ การให้วิตามินเสริมจำพวกนิโคทินิกแอซิด (Nicotinic acid), ไพริดอกซินไฮโดรคลอไรด์ (Pyridoxine hydrochloride) ไมโออินอซิทอส (myoinositol) โฟลิกแอซิด (folic acid) และแคลเซียมดีเพนโททิเนต (Ca D-pentothenate) เสริมด้วย

ที่มา http://legjoel224.blogspot.com/p/blog-page_2.html    


    4. กรดแอมิโน
กรดแอมิโนเป็นแหล่งให้ไนโตรเจนที่พืชจะได้รับเร็วกว่าจากเกลืออนินทรีย์ แต่ไม่สามารถใช้แทนกันได้ทั้งหมด แม้ว่า กรดแอมิโนจะไม่ใช่สารประกอบที่จำเป็นต้องเติมในอาหารเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช แต่มีการทดลองที่แสดงว่า การเติมเคซีน-ไฮโดรไลเซต (casein hydrolysate) ร้อยละ 0.02  -  1 ซึ่งประกอบด้วยกรดแอมิโนหลายชนิด ช่วยให้มีการพัฒนาของเนื้อเยื่อเป็นอวัยวะได้ดีขึ้น และมีรายงานการใช้กรดแอมิโน เช่น แอล-ไทโรซีน (L - tyrosine) แอล-อาร์จินีน (L - argenine) แอล-เซอรีน (L - serine) และเอไมด์บางชนิด เช่น แอล-กลูทามีน (L - glutamine) แอล-แอสพาราจีน (L - asparagine) ในการเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช พบว่า มีผลช่วยชักนำให้เกิดยอด ราก และเอ็มบริโอ จากเซลล์ที่ไม่เกี่ยวกับเพศด้วย

ที่มา http://www.thaigreenagro.com/product/productList_2.aspx


    5. กรดอินทรีย์
การเติมกรดอินทรีย์บางตัว โดยเฉพาะที่เซลล์พืชใช้ในวัฏจักร ไทรคาบอกซิเลต Tricarboxylic acid (TCA) ของปฏิกิริยาหายใจ เช่น ซิเทรต (citrate) มาเลต (malate) ซักซิเนต (succinate) หรือ ฟูมาเรต (fumarate) ช่วยให้เซลล์ และโพรโทพลาสต์ของพืชเจริญได้ และยังบรรเทาผลเสีย จากการใช้แอมโมเนียม เป็นแหล่งไนโตรเจนเพียงอย่างเดียว pyruvate มีผลช่วยส่งเสริมการเจริญของเซลล์ที่เลี้ยงในปริมาณน้อยๆ ได้ ส่วน ascorbic acid ช่วยลดการเกิดสีน้ำตาล ของสารประกอบ phenolic ที่เนื้อเยื่อพืชบางชนิดสร้างขึ้น และมีผลยับยั้งการเจริญได้ นอกจากนี้ กรดอินทรีย์บางชนิด เช่น เมส (MES หรือ 2 (N-morpholino) ethane sulphonic acid) ยังช่วยรักษาสมดุล ของความเป็นกรดด่าง ของอาหารสังเคราะห์อีกด้วย


ที่มา http://www.paiagro.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539524340&Ntype=1


6. สารประกอบจากธรรมชาติที่นิยมใช้
เช่น น้ำมะพร้าว กล้วยบด มันฝรั่ง สารสกัดจากมอลต์ สารสกัดจากยีสต์ อิมัลชันปลา ถ่านกัมมันต์ (activated charcoal) สารประกอบจากธรรมชาติเหล่านี้
ในบางครั้ง ไม่สามารถทดแทนกันได้ ด้วยสารอื่นใด ในอาหารเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช แต่พบว่า ให้ผลดีต่อการเจริญ ของเนื้อเยื่อพืชในหลอดทดลอง บางชนิดยังช่วยทำหน้าที่รักษาสมดุลของความเป็นกรดด่าง และบางชนิด ช่วยดูดซับสารที่เป็นพิษ เนื่องจากมีมากเกินไปด้วย

    7. สารควบคุมการเจริญของพืช

ซึ่งหมายรวมถึงฮอร์โมนพืชด้วย ที่นิยมใช้ ได้แก่ ออกซิน และไซโทไคนิน เนื่องจากจะช่วยกระตุ้นการแบ่งเซลล์ การเจริญเติบโต และการเกิดเป็นโครงสร้าง
ต่างๆ ของเนื้อเยื่อพืชในหลอดทดลอง โดยที่ออกซิน และไซโทไคนิน ที่ใส่ในอาหารสังเคราะห์ จะช่วยเสริมฮอร์โมน ที่เซลล์พืชสร้างขึ้นเอง จากการทดลองเลี้ยงเนื้อเยื่อยาสูบ และพืชอีกหลายชนิด พบว่า ออกซินชักนำให้เกิดแคลลัส และในพืชใบเลี้ยงคู่หลายชนิดพบว่า หากใช้ออกซินร่วมกับไซโทไคนิน จะช่วยให้แคลลัส เพิ่มปริมาณได้ดีขึ้น นอกจากนี้ จากการทดลองศึกษาการสร้างยอดและรากในยาสูบ พบว่า หากได้รับสัดส่วนของปริมาณออกซิน : ไซโทไคนินต่ำ เนื้อเยื่อที่เลี้ยงในหลอดทดลอง จะมีการพัฒนาเป็นยอด และจะพัฒนาเป็นราก เมื่อได้รับสัดส่วน ของปริมาณ ออกซิน : ไซโทไคนินสูง ส่วนการเกิดโซมาติกเอ็มบริโอ เช่น ในการเลี้ยงเนื้อเยื่อรากแครอตนั้น มักต้องถูกกระตุ้นด้วยออกซิน เช่น ทูโฟร์-ดี (2, 4-D  หรือ 2, 4-dichlorophenoxyacetic acid) ในปริมาณสูงก่อน แล้วจึงลด หรืองดการให้ออกซิน เพื่อให้เซลล์ของแคลลัสพัฒนา เป็นโซมาติกเอ็มบริโอ การตอบสนองต่อฮอร์โมนในพืชแต่ละชนิด อาจต่างกันได้ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับชนิดของเนื้อเยื่อ และชนิดของพืช ซึ่งมีระดับฮอร์โมนภายใน ที่แตกต่างกัน ส่วนฮอร์โมน เช่น จิบเบอเรลลินส์ (gibberellins) นำมาใช้เพื่อช่วยให้ยอดเจริญยืดตัวขึ้นได้ แต่มักมีผลยับยั้งการเกิดยอด ราก และโซมาติกเอ็มบริโอ เมื่อใช้ในปริมาณมาก สำหรับสารยับยั้งการเจริญ เช่น แอบซิสซิกแอซิด (abscissic acid) นิยมใช้ในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อค่อนข้างน้อย ส่วนสารชะลอการเจริญ เช่น แพกโคลบิวทราโซล (paclobutrazol) อาลาร์ (alar) ฯลฯ ใช้อยู่บ้าง ในกรณีที่ต้องการชะลอการเจริญเติบโตของยอด เพื่ออนุรักษ์พันธุ์พืช ในหลอดทดลอง


ที่มา https://sites.google.com/

    8. สารที่ทำให้อาหารแข็งตัวและวัสดุ พยุงเนื้อเยื่อพืช
โดยทั่วไปมักใช้วุ้น (agar) และเจลาตินผสมลงในอาหารเพื่อทำให้แข็งตัว คุณภาพ และราคา ของสารที่ใช้ทำให้อาหารเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชแข็งตัวมีหลายระดับ
ควรระมัดระวังการใช้สารคุณภาพต่ำ เนื่องจากไอออน แป้ง และไขมัน ที่ปะปนอยู่จะไปทำปฏิกิริยากับองค์ประกอบอื่นๆ ของอาหาร และมีผลยับยั้ง การเจริญของเนื้อเยื่อพืช นอกจากนี้ วัสดุพยุงเนื้อเยื่อ ในกรณีเลี้ยงในอาหารเหลว อาจใช้กระดาษกรอง ที่พับเป็นสะพาน เพื่อวางเนื้อเยื่อพืชไม่ให้จมลงไปใต้อาหารเหลว สำลี และใยสังเคราะห์ ก็สามารถช่วยพยุงเนื้อเยื่อพืชในอาหารเหลวได้

ที่มา http://phiman-planttissue.blogspot.com/


วันศุกร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ประโยชน์


คุณสมบัติที่ถูกนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ของวิธีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อมีหลายข้อพอสรุปได้ดังนี้

1. สามารถผลิตต้นพันธุ์พืชปริมาณมากในระยะเวลาอันรวดเร็ว ตัวอย่างเช่น หากพืชสามารถเพิ่ม ปริมาณได้ 3 เท่า ต่อการย้ายเนื้อเยื่อลงอาหารใหม่ทุกเดือนๆ ละ 1 ครั้ง เมื่อเวลาผ่านไป 6 เดือน จะสามารถผลิต ต้นพันธุ์พืชได้ถึง 243 ต้น

2. ต้นพืชที่ผลิตได้จะปลอดโรค โดยเฉพาะโรคที่มีสาเหตุจากเชื้อไวรัส มายโคพลาสมา ด้วยการตัด เนื้อเยื่อเจริญที่อยู่บริเวณปลายยอดของลำต้น ซึ่งยังไม่มีท่อน้ำท่ออาหาร อันเป็นทางเคลื่อนย้ายของเชื้อโรค ดังกล่าว

3. ต้นพืชที่ผลิตได้ จะมีลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนต้นแม่ คือ มีลักษณะตรงตามพันธุ์ ด้วยการใช้ เทคนิคของการเลี้ยงจากชิ้นตาพืชพัฒนาเป็นต้นโดยตรง หลีกเลี่ยงขั้นตอนการเกิดกลุ่มก้อนเซลล์ที่เรียกว่า แคลลัส

4. ต้นพืชที่ผลิตได้จะมีขนาดสม่ำเสมอ ผลผลิตที่ได้มีมาตรฐานและเก็บเกี่ยวได้คราวละมากๆ พร้อมกัน หรือในเวลาเดียวกัน

5. เพื่อการเก็บรักษาหรือแลกเปลี่ยนพันธุ์พืชระหว่างประเทศ เช่น การมอบเชื้อพันธุ์กล้วยในสภาพปลอดเชื้อ ขององค์กรกล้วยนานาชาติ (INIBAP) ให้กรมส่งเสริมการเกษตร เมื่อปี พ.ศ. 2542

6. เพื่อประโยชน์ด้านการสกัดสารจากต้นพืช นำมาใช้ประโยชน์ด้านต่างๆ เช่น ยาฆ่าแมลง ยารักษาโรค เป็นต้น

 
ที่มา https://sites.google.com/


ที่มา https://sites.google.com/


ที่มา https://tanyamat5651.wordpress.com/


ที่มา  http://www.thaigoodview.com/library/contest2553/type2/science04/24/pages/index5cfa.html



 ปัญหาและอุปสรรคที่พบในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ 
   มีการเผยแพร่ผลงานที่เกี่ยวข้องกับหลักการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชกันแต่ไม่ค่อยมีการกล่าวถึงปัญหา และอุปสรรคที่พบ   เมื่อมีการนำมาปฏิบัติจริง  โดยเฉพาะเพื่อการขยายผลในเชิงการค้ากับกลุ่มพืชเศรษฐกิจ มักไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาจาก ค่าการลงทุนที่ค่อนข้างสูง ความผิดพลาด ในการชั่งตวงวัดความไม่บริสุทธิ์ของน้ำที่ใช้ เป็นต้นในที่นี้จะกล่าวถึงปัญหาอุปสรรคที่พบเสมอ เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับลักษณะของต้นพืชระหว่างดำเนินการพอสรุปได้ดังนี้

  1. ความผิดปกติที่เกิดกับต้นพืช  หมายถึง  ต้นพืชจะแสดงลักษณะที่ผิดไปจากสภาพการเจริญเติบโตปกติ อาจมีสาเหตุมาจากวิธีการดำเนินงานในแต่ละขั้นตอนของกระบวนการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เช่น การใช้สารเร่งการเจริญเติบโตหรืออื่น ๆ  ในอัตราที่เข้มข้นมากเกินไปเป็นเวลานานเกินไป   หรือแม้แต่การตัดชิ้นพืชที่มีขนาดแตกต่างกันหรือการเว้นระยะห่างระหว่างพืชที่วางในขวดต่างกันล้วนแล้วแต่อาจจะเป็นสาเหตุของความผิดปกติของต้นพืชได้ทั้งสิ้นเช่น

  -- อาการด่างขาว เป็นอาการที่ใบพืชจะเปลี่ยนสีจากเขียวเป็นขาว มีทั้งแบบสีขาวทั้งใบ สีขาวครึ่งใบ    หรือสีขาว ตามขอบใบ

  -- อาการฉ่ำน้ำ (Vitrification) เป็นอาการผิดปกติที่เห็นได้ชัดเจน บริเวณใบจะใสเหมือนแก้ว   อาจมีสาเหตุจาก ปริมาณน้ำภายในเซลล์มากเกินไป ถ้าย้ายออกปลูก มักจะตายในที่สุด
  -- ต้นพืชหยุดเจริญเติบโตด้านความสูง
  -- อาการยอดบิดเบี้ยว ใบแคบเล็ก หรือไม่มีใบ
  -- ต้นพืชมีการเจริญเติบโตและพัฒนาไม่พร้อมกัน ทำให้แผนการเพิ่มปริมาณอาจผิดพลาดไปได้   เนื่องจากต้องคัดเลือกต้นที่มีความสูงมาก เข้าสู่ระยะการชักนำราก ส่วนต้นที่มีความสูงน้อยนำมาเพิ่มปริมาณยอดต่อไปได้               
  2. การปนเปื้อนของเชื้อราและเชื้อแบคทีเรีย ในขวดเนื้อเยื่อพืช
  3. พืชหลายชนิดสามารถขยายเพิ่มปริมาณได้มาก แต่เมื่อถึงระยะสุดท้ายต้นพืชไม่ตอบสนอง  ในระยะการชักนำราก ถึงแม้ว่าจะผ่านการทดสอบในขั้นตอนดังกล่าวแล้ว
  4. ความไม่เป็นปัจจุบันของสายพันธุ์ภายหลังการผลิต-ขยาย บรรลุเป้าหมายแล้ว อาจพบกับกลุ่มไม้ดอก  เนื่องจากความนิยมเรื่องสายพันธุ์ เปลี่ยนแปลงค่อนข้างเร็ว
  5. ความแปรปรวนทางพันธุกรรมของต้นพืช (Somaclonal variation) เป็นลักษณะของต้นพืชที่แตกต่างไปจากเดิม อาจเป็นการเปลี่ยนแปลง โดยถาวรหรือกลับมาเป็นแบบเดิมก็ได้
      ปัญหาต่าง ๆ ดังกล่าวเมื่อเกิดขึ้นแล้วต่างส่งผลให้ต้นพืชเหล่านั้น เจริญเติบโตน้อยลง หรือตายในที่สุด   การหาวิธีแก้ไขคงเป็นไปได้ยาก แต่ควรเริ่มต้นทำงานใหม่ด้วยความระมัดระวัง ในทุกลำดับขั้นตอน ตั้งแต่การฟอกฆ่าเชื้อ วิธีการตัด และวางเนื้อเยื่อพืช สูตรอาหารที่ใช้ เทคนิคปลอดเชื้อ ความสะอาดของเครื่องมือที่ผ่านการฆ่าเชื้อแล้ว  เป็นต้น แต่ปัญหาอุปสรรคที่เกิดกับงานขยายพันธุ์พืชด้วยวิธีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เป็นปัญหาที่แก้ไขได้ หากปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และให้ความสำคัญกับเทคนิคปลอดเชื้อ ผลสำเร็จของงานผลิต-ขยายพันธุ์พืชบรรลุวัตถุประสงค์แน่นอน 


ที่มา http://forum.narandd.com/index.php?topic=1427.0;prev_next=prev#new



ที่มา https://www.kehakaset.com/articles_details.php?view_item=426


ที่มา http://www.pandinthong.com/knowledge-preview/381691791800


ที่มา http://piyapaskritsana.blogspot.com/2011/